สำนักสหปฏิบัติฯ

คับแคบตีบตันกว้างใหญ่ไพศาล



 

ความคิดและคามต้องการของมนุษย์ไม่มีขอบเขต ความคิดมีหลายแง่มุม ความต้องการมีมากหลายแบบ เกิดจากความแปลกและลึกลับของจิตใจ วิญญาณ สัญชาตญาณที่ดิบ ๆ ในตัวมนุษย์ ความติดและจิตใจในระดับหนึ่งสร้างความแตกต่างและช่องว่างให้แก่มนุษย์ทำให้ ฐานะห่างกันไกลบ ทั้งที่มีความเป็นคนเหมือนกัน  จิตใจ คือส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุด จิตวิญาณเป็นส่วนที่ลึกซึ้งที่สุด ทั้งสองส่วนต่างเก็บซ่อนอยู่ภายใน เป็นกลไก และกระบวนการของความคิดที่นำมาสู่การกระทำอันสลับซับซ้อนด้วยวิธีการและ พฤติกรรมที่ยอกย้อน    ความสมบูรณ์ของความคิดและจิตใจสร้างความมั่นคงและถาวรที่เป็นมาตรฐานให้แก่ ชีวิต จำเป็นต้องมีการฝึกฝนและผ่านประสบการณ์มาอย่างช่ำชอง ทักษะและภูมิปัญญาจึงจะเกิดมีขึ้น

ผู้ที่เข้าถึงความจริงของจิตใจซึ่งมีอารมณ์เป็นตัวแปร ความพิสดารแห่งจิตวิญญาณ ผู้เข้าถึงต้องรู้และเข้าใจข้อเท็จจริงในความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติภายใน การ และธรรมชาติสิ่งแวดล้อมภายนอกตัวมนุษย์ ชีวิตที่สมบูรณ์ เป็นชีวิตที่ฐานของสุขภาพจิตดี มีปัญหาหยั่งรู้รอบคอบ มีความสามารถในการกระทำ นำความเจริญมาสู่ตนเองและครอบครัว จนขยายออกสู่สังคม ในยุคโลกาภิวัตน์ ความรู้ระดับที่อยู่ในวงแคบนั้นยากแก่การพัฒนาคนและงานที่มีความรับผิดชอบ อยู่ ความรู้และความคิดของคนในยุคปัจจุบันต้องอยู่ในระดับสากล จึงจะสามารถนำตนและสังคมให้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์ได้  ภายในจิตใจของมนุษย์มีสิ่งที่มองเห็นเด่นชัดอยู่สองประการ คือความคิดและความต้องการดีในสิ่งที่ดี คือกุศลอันเป็นหนทางบุญ และความติดความต้องการในสิ่งไม่ดีเป็นอกุศลจิตซึ่งเป็นทางบาป  สังขารเกิดจากการปรุงแต่ประกอบขึ้นด้วยขันธ์ห้า มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือรูปนามซึ่งมีเหตุปัจจัยเป็นส่วนประกอบ มีทั้งดีและไม่ดีปะปนด้วยกิเลสตัณหา ทำให้เกิดเป็นนิวรณ์ในจิต เกิดความเศร้าหมองซึ่งตึงเครียด ความประภัสสรของจิตก็ถูกกลบลบเลือนไป  จิตขุ่นมัวจากนิวรณ์ก่อให้เกิดพฤติกรรมของความขัดแย้งหลายประการ เกิดความแตกแยกในส่วนตัวและครอบครัว ผลกระจายออกไปสู่สังคมในลักษณะเดียวกัน  จิตที่ประภัสสร คือจิตที่สวยสดงดงาม ก่อให้เกิดความสามัคคี ออมชอม อ่อนน้อม ถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกันในส่วนตัวและครอบครัว และขยายผลดีออกสู่สังคมในเรื่องของความดีงาม   มนุษย์แยกกันอยู่กระจัดกระจาย แต่ความใกล้ชิดอันสัมพันธ์กันในเชิงวัตถุและวิทยาศาสตร์ ทำให้รู้สึกว่าโลกแคบ จนเกิดเป็นคำเรียกกันว่าหมู่บ้านโลก (GLOBAL VILLAGE)

การพัฒนาจิตใจของมนุษย์ที่มีความคับแคบและเห็นแก่ตัว ติดยึดในทิฐิที่บัญญัติกันขึ้นมาจากลัทธิ นิกาย และศาสนาที่เชื่อถือกันอย่างผิด ๆ แทนที่จะนำคำสอนที่ถูกต้องและให้ผลดีต่อการพัฒนาสร้างสรรค์โลก กลับกลายมาเป็นการทำลายสังคมโลกให้เกิดความวิโยคไป และสาเหตุจากความคับแคบในจิตใจกลายเป็นความตีบตันในการพัฒนาสร้างสรรค์ ผลคือทำให้สังคมล่มสลายขาดความสันติสุข  ขอยกข้อความในหนังสือ การศึกษาเพื่ออารยธรรมที่ยั่งยืน ของ พระธรรมปิฎก ๖ป.อ.ปยุตโต๗ หน้า 101 มาเน้นให้เห็นเหตุและผลดังนี้ เนื่องจากการยึดติดในลัทธิศาสนาเป็นเสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของปัญหาเป็น สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของปัญหาความแบ่งแยกในหมู่มนุษย์ จึงควรพูดย้ำไว้ด้วยว่า ถ้าศาสนาทั้งหลายจะช่วยให้โลก มีสันติสุขได้ โดยศาสนาไม่เป็นตัวเหตุเสียเองที่จะทำให้คนแบ่งแยกรบราฆ่าฟันทำสงคารมกัน ศาสนาทุกศาสนาจะต้องถึอหลักหรือยอกรับความเป็นสากล 3 ประการต่อไปนี้คือ

1. ความจริงที่เป็นสากล เช่นเมื่อสอนว่า การทำดีเป็นเหตุให้ไปสวรรค์ การทำชั่วเป็นเหตุให้ไปนรก ก็ต้องเป็นจริงสำหรับมนุษย์ทุกคนทุกหนแห่งไม่ว่านับถือลัทธิศาสนาใด ไม่ใช่จริงสำหรับผู้นับถือศาสนานี้แต่ไม่จริงสำหรับผู้นับถือศาสนาอื่น
2. ความเป็นมนุษย์ที่สากลคือถือว่า มนุษย์ทุกคนทุกหนทุกแห่งไม่ว่านับถือศาสนาไหน ก็เป็นมนุษย์เสมอกัน การฆ่ามนุษย์เป็นบาป ไม่ดีทั้งนั้น ไม่ใช่สอนว่ามนุษย์ที่นับถืออย่างนี้เป็นมนุษย์ของฉัน ห้ามฆ่า แต่มนุษย์ที่ไม่นับถืออย่างฉันฆ่าได้ไม่บาป
3. เมตตาที่เป็นสากล คือจะต้องสอนให้รักใคร่มีไมตรีต่อมนุษย์ทุกคนโดยไม่จำกัดว่าเป็นกลุ่มไหนพวก ใด นับถือศาสนาใดไม่ใช่ให้เมตตารักคนพวกนี้กลุ่มนี้นับถือศาสนานี้  แต่ให้เกลียดชังคนพวกอื่นนับถืออย่างอื่น

ถ้าศาสนาทุกศาสนายอมรับหลักสากล 3 ประการนี้ไม่ได้ โลกไม่มีทางสงบจากความขัดแย้งและสงคราม  ปัจจุบันนี้ แม้แต่จะพูดกันตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยในเรื่องเหล่านี้ ก็พูดกันไม่ได้ ต้องหลับเลี่ยงอ้อมแอ้ม ๆ กันไปว่า ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีเหมือนกันเมื่อไม่ซื่อตรงต่อความเป็นจริงกันอย่าง นี้ มันแต่หลบปัญหากันอยู่ ก็แก้ปัญหาไม่ได้  หากมนุษย์เข้าใจและทำใจขยายความคับแคบอันเป็นผลทำให้เกิดความตีบและตันไปถึง สังคม เปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นความใจกว้าง ก็จะเกิดความกว้างใหญ่ ขยายการพัฒนาสังคมให้เกิดความสันติสุขได้อย่างไพศาล