สำนักสหปฏิบัติฯ

ปาราจิตวิทยา ( Parapsycology ) กับอภิปรัชญา: เมตาฟิสิกส์ ( Metaphysic)
              ปาราจิตวิทยา( Parapsycology ) หมายถึงปรากฏการ์ณที่เกิดขึ้นกับจิตที่ยังอธิบายหาเหตุผลไม่ได้ เช่น อาการ หรือปรากฏการ์ณแปลกๆรวมทั้งเรื่องของระบบประสาทสำผัสพิเศษลึกๆ ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไป ส่วนอภิปรัชญาหรือเมตาฟิสิกส์( Metaphysic) เป็นเรื่องวิชาวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ ความร้อน แสงเสียง ที่อธิบายในรูปของปรัชญาที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ หากเทียบกับพระพุทธศาสนานั้นเทียบเคียงได้กับ วิชาอภิปรัชญา อันเป็นวิชาที่ศึกษาในเรื่องของความจริงในสมมุติที่เรียกว่าสมมุติสัจจะ และวิชาที่ศึกษาเรื่องของความจริงในความจริง ที่เรียกว่าปรมัตถสัจจะหรือปรมัตถธรรม อันได้แก่เรื่องของจิต เจตสิก รูป และนิพพานอันเป็นเรื่องของ อนิจจัง  ทุกข์ขัง  อนันตตา สำหรับปาราจิตวิทยานั้นเทียบได้กับสมมุติสัจจะคือความจริงในสมมุติยังเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตาอยู่ เป็นขั้นที่เกือบถึงปรมัตถสัจจะ เรื่องของวิญญาณหากเราพิจารณาในแง่สมมุติสัจจะ คำว่าวิญญาณ คงเป็นเพียงคำเพื่อแยกความหมายเฉพาะว่าต่างจากสิ่งอื่นเท่านั้น แต่ในแง่ของปรมัตถสัจจะ วิญญาณหมายถึงคลื่นหรือพลังงานที่มีความเร็ว มีความถี่ มีรูปแบบที่ไม่แน่นอน    หากพิจารณาตามหลักวิชาการและกฏทางฟิสิกส์กล่าวว่า สิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยเซลจำนวนมากรวมกัน  และเซลก็เกิดจากสารอนินทรีย์เคมีที่เกี่ยวข้องในระดับวัตถุ และสารอินทรีย์เคมีอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งนี้สามารถเกี่ยวข้องได้ถึงระดับวิญญาณ รวมกันเป็นชีวิต หากมองให้เห็นตามความเป็นจริง เราสามารถมองวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์เล็กลงเรื่อยๆสู่ระดับโมเลกุล สู่ธาตุ สู่ระดับอะตอม จากอะตอมเล็กลงสู่ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน  เล็กลงสู่อณู จากอณูก็สามารถแปลผันสู่ภาวะปรามณู ทั้งนี้ตามทฤษฏีสัมพันธภาพของไอซ์ไตน์ที่กล่าวว่า  E = mc2 อันแสดงว่าวัตถุธาตุสามารถแปรสู่ความเป็นคลื่นหรือพลังงานได้ในที่สุด นอกจากนี้ทางห้องปฏิบัติการเรายังพบว่าพลังงานสามารถแปรกับมาเป็นวัตถุได้เช่นกัน เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์พบว่า หากเราใช้รังสีคอสมิค ยิงอะตอมแตก ก็จะเกิดเป็นคู่อีเลทตรอน positron กับ electron และคู่อีเลทตรอน  positron กับ electron ก็ยังสามารถรวมกัน กลับมาเกิดเป็น photon หรือคลื่นพลังงานได้ นอกจากนี้วิชาควันตัมฟิสิกส์ยังกล่าวถึงความไม่แน่นอนของขนาดวัตถุ และเวลาว่า    
 
                    L = L0/ 1-(V2/C2)  และ t =  t0 / 1-( v2/c2)
 
      อันหมายถึง เมื่อวัตถุเคลื่อนที่เร็วเหนือแสงมากเท่าไร ขนาดของวัตถุที่เคลื่อนที่ก็จะยิ่งเล็กลง   คลื่นพลังจะละเอียดขึ้น ความถี่สูงขึ้น  และเวลาเดินช้าลงมากขึ้นเท่านั้น หากวัตถุเคลื่อนที่เร็วเท่าแสง ขนาดจะเป็นศูนย์ มวลเพิ่ม เวลาหยุดนิ่ง ยกตัวอย่างทฤษฏีสัมพันธภาพได้ดังนี้ หากมีฝาแฝดคู่หนึ่งเกิดพร้อมกัน คนหนึ่งอยู่บนโลก อีกคนหนึ่งเดินทางด้วยยานอาวกาศไปนอกโลกด้วยความเร็วใกล้แสงในช่วงระยะเวลาเวลาหนึ่งแล้วกลับมายังโลก จะพบว่าฝาแฝดที่อยู่บนโลกจะมีอายุมากกว่า ฝาแฝดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ตามหลักของพระพุทธศาสนาเราเรียกว่าเวลาไม่เที่ยง ขนาดไม่เที่ยง ปริมาณไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง ชีวิตคือองค์รวมของขันธ์ ๕ (อนัตตลักขณสูตร) ประกอบด้วย ธาตุ ๔  คือธาตุดินหรือปฐวีธาตุ ,  ธาตุน้ำหรืออาโปธาตุ  ,ธาตุลมหรือวาโยธาตุ Eliment of motion  และธาตุไฟหรือเตโชธาตุ : Eliment of  heat อันเป็นกรรมสังขารหรือวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นพลังงานคลื่นชนิดหนึ่งเช่นกัน เมื่อเราปฏิบัติจิตให้ละเอียดขึ้น พลังงานของคลื่นวิญญาณเราจะเริ่มพัฒนาพลังงาน จนมีประสิทธิภาพ มีความร็วและพลังงานสูงขึ้นที่เรียกว่าแผ่รังสีออกได้ เมื่อเรากำหนดสมาธิเจริญสติจนนิ่งถึงจุดที่เรียกว่าอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว จิตจะทรงพลังมาก พระอรหันต์สามารถกำหนดจิตละเอียดลึกไปถึงระดับจิตวิญญาณ ท่านสามารถกำหนดตัวรู้ของท่านในระดับวิญญาณของท่านไปทำอะไรต่อมิอะไรตั้งนานตั้งหลายเรื่องในโลกวิญญาณ เรียกได้ว่าเวลาขึ้นอยู่กับระดับของตัวรู้หรือความเร็วคลื่นวิญญาณภายในอันสามารถแปรเปลี่ยนเวลาไปสู่ระดับของตัวรู้ในอีกภพที่อยู่ในพลังงานคลื่นความเร็วสูงเหนือแสง อันสามารถแบ่งแยกตามความละเอียดของจิตและระดับพลังงานวิญญาณ เกิดเป็นภพภูมิต่างๆ ที่เราเรียกว่า ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดินอันจะสำผัสได้ด้วยตัวรู้ ซึ่งเวลาและพลังงานวิญญาณในแต่ละภพภูมินั้นจะต่างกัน เช่น ในภพสัญชีนรก  ๑ วันนรก เท่ากับ ๙ ล้าน ปีมนุษย์ , ๑ วัน (ทิพย์)ของเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิก เท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์  เป็นต้นพระอรหันต์สามารถปฏิบัติจนวิญญาณหรือรังสีของท่านสามารถเข้าถึงเอกภพ ทั้งนี้ท่านสามารถสลายจิต เจตสิก รูปได้ด้วยนิพพาน สามารถพัฒนาจิตซึ่งเป็นคลื่นในภาวะปรมณูกระจายสู่ความว่าง เมื่อสังขารพระอรหันต์สิ้นไปก็จะเข้าสู่ปรมัตถสัจจะสมบรูณ์ สู่ภาวะว่างอนันต์ ทำให้พระอรหันต์สามารถอยู่ในแดนนิพพาน คงไว้ได้ด้วยตัวรู้ได้จนนิรันดร์ในลักษณะของปรามณูที่ไม่มีขีดจำกัดของขนาด ของเวลา ฯลฯ ตรงข้ามหากโลกวิญญาณลงมาเกิดที่โลกมนุษย์ใช้เวลาในโลกมนุษย์ไปตั้งนานหลายสิบปี กลับไปโลกวิญญาณใช้เวลาไปนิดเดียวเช่นกัน ทั้งนี้ภพภูมิของผู้ปฏิบัติจะแตกต่างกันตามความละเอียดของคลื่นวิญญาณที่ปฏิบัติได้ พระอรหันต์จะไปเยี่ยมภพภูมิไหนก็ได้ที่มีความละเอียดของจิต และความเร็วความถี่วิญญาณที่น้อยกว่า ในขณะเดียวกันคนที่ปฏิบัติจิตน้อยก็จะไม่สามารถเดินทางไปยังภพภูมิที่ความละเอียดของจิต และความเร็วของคลื่นวิญญาณที่สูงกว่าได้ เรื่องของสมมุติสัจจะนั้นเป็นเรื่องของวิญญาณที่เราตั้งจิตอธิษฐาน อาจเป็นวิญญาณที่เป็นองค์เทพที่เรามีศรัทธาการในโลกวิญญาณ อันเป็นฤทธิ์ที่เกิดขึ้นในท่ามกลางของการปฏิบัติธรรม  ซึ่งก็คือเรื่องของสิ่งเหนือสามัญวิสัยเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ส่งมาผสมผสานกับคลื่นวิญญาณเราจนเกิดเป็นนิมิต หรือสำผัสพิเศษในองค์ฌาน องค์ญาณ เกิดเป็นปรากฏการ์ณทางจิตในวิชาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ที่ต่างประเทศเรียกว่าพาราไซโคโลยีนั่นเอง