สำนักสหปฏิบัติฯ

                     ที่สุดของธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตนั้oราถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ  นั่นหมายถึงมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สามารถพัฒนาจิตตนเองได้ สามารถพัฒนาจิตให้ละเอียดถึงระดับจิตวิญญาณได้ นั่นคือมนุษย์เป็นภพภูมิเดียวเท่านั้นที่สามารถพัฒนาตนเองให้ไปสู่พระนิพพานได้ และ ในทางตรงข้าม มนุษย์ก็เป็นภพภูมิเดียวอีกเช่นกันที่สามารถตกลงไปสู่ภพภูมินรกที่ต่ำที่สุดคืออเวจีได้ โดยสิ่งที่จะมากำกับจิตมนุษย์ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องไม่ตกต่ำลงไปก็คือ  “ปัญญา”โดยจิตเป็นผู้ทำให้เกิดปัญญา แล้วปัญญาก็จะย้อนกลับมากำกับจิต สัญชาตญาณนั้นเป็นสภาวะจิตขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต เช่นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิต ในกลไกของสิ่งมีชีวิตนั้นสัญชาตญาณนั้นจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากระบบประสาทอัตโนมัติส่วนก้านสมองเป็นส่วนที่ควบคุม โดยก้านสมองนี้เป็นระบบระบบประสาทพื้นฐานของสัตว์ทั่วไป ในแง่ของสัจธรรมสัญชาตญาณนั้นขึ้นอยู่กับ พันธุ์กรรม พฤติกรรม และวิบากกรรม ซึ่งสัญชาตญาณมักจะเกิดร่วมกับระบบประสาทที่เรียกว่า"ระบบลิมบิก" (limbic system) ซึ่งอยู่เหนือก้านสมอง และฝังอยู่ใจกลางของก้อนสมองมนุษย์  บางคนจึงเรียกว่าสมองชั้นใน  ตรงศูนย์กลางคือ"ไฮโปทาลามัส" (hypothalamus) เล็กราวเมล็ดถั่ว เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของระบบลิมบิก  มันทำหน้าที่ควบคุมความหิวกระหาย การนอนหลับ พฤติกรรมทางเพศ และอารมณ์ของคนเรา  อีกส่วนที่เป็นก้านยื่นเป็นวงโค้งออกมาจากไฮโปทาลามัส ที่เรียกว่า"ฮิปโปแคมปัส" hippocampus- ซึ่งมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ บริเวณปลายของฮิปโปแคมปัส คือ "อะมิกดาลา"(amygdala) มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็ก  ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งความกลัวและความกระวนกระวายใจ  ระบบลิมบิกก็คือศูนย์กลางทางอารมณ์ความรู้สึกของคนเรา  ทั้งความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความเศร้า ความเหงา ความอยาก และอารมณ์ทางเพศ ล้วนมีบ่อเกิดที่นี่  สมองส่วนระบบลิมบิกนี้จะพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขึ้นไป แต่มนุษย์นั้นมีความแตกต่างจากสัตว์อื่นๆก็คือ มนุษย์สามารถพัฒนาจิตให้สูงขึ้น ก็จะสามารถพัฒนาสัญชาตญาณหรืออารมณ์ดิบ ไปสู่การปฏิบัติหรือการตอบสนองได้อย่างเป็นระบบ โดยเราจะต้องพัฒนาทั้งพฤติกรรม และวิบากกรรม ให้สามารถพิจารณาความรู้ผิดและรู้ชอบได้ด้วยปัญญา เนื่องจากมนุษย์มีการพัฒนาของระบบสมองส่วนหน้า ซึ่งมนุษย์เท่านั้นที่มีการพัฒนาของสมองส่วนนี้มากที่สุดสมองส่วนนี้อยู่ที่ส่วนบนที่ห่อหุ้มระบบลิมบิก เป็นบ่อเกิดของภาษา ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี ศาสนา วิทยาศาสตร์ และทำให้มนุษย์ก่อร่างสร้างอารยธรรมอันเจริญรุ่งเรืองโดยเฉพาะส่วนนอกสุด คือ เปลือกสมอง(cortex-คอร์เท็กซ์) เป็นส่วนที่มีการทำงานสลับซับซ้อนที่สุด เพราะทำหน้าที่เกี่ยวกับการคิด การวางแผน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การตัดสินใจ การใช้เหตุผล และความยับยั้งชั่งใจ เป็นสมองส่วนสำคัญที่เราใช้ในการศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งเป็นคลังเก็บความทรงจำของเราด้วย  ส่วนข้อมูลจากประสาทสัมผัสทั่วร่างกายจะถูกส่งผ่านก้านสมองมายังทาลามัส ซึ่งจะทำหน้าที่จัดสรรและแบ่งประเภทข้อมูลต่าง ๆ ก่อนส่งไปยังสมองส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
          ดังนั้นเราควรฝึกฝนการตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆ  เราจำเป็นจะต้องให้จิตผ่านระบบความคิดหรือจิตใจ มีการไตร่ตรองก่อน ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าจิตนั้นจัดเป็นธรรมชาติภาครู้ เมื่อรับรู้จากอารมณ์แล้วก็จะเกิดเป็นมโนสัญญา เกิดเป็นตัวรู้  ธาตุรู้หรือเกิดเป็นปัญญา หากเรามีปัญญาระดับจิต ปัญญานั้นก็จะเป็นปัญญาธรรมดา แต่หากเราสามารถพัฒนาจิตให้ละเอียดและลึกลงไปถึงระดับจิตวิญญาณ หรือวิญญาณแท้ในจิต ปัญญาก็จะเป็นปัญญาในระดับปัญญาญาณ แต่กระนั้นสัญชาตญาณดิบที่เรามีก็ยังแอบซ่อนในจิตเราอยู่นั่นเอง ส่วนจิตระดับสูงนั้นมักแอบแฝงอยู่ในลักษณะของอนุสัยกิเลส โดยอาจจะเข้ามากวนจิตใจของเรา  และในบางครั้งอาจจะกวนจนถึงระดับจิตวิญญาณ  ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนาสัญชาตญาณดิบให้สุกก่อน เริ่มจากสามารถควบคุมจิตใจพื้นฐานได้ โดยเราจะต้องไม่ตามใจ  กิน กาม เกียรติจนมากเกินพอดี จะทำให้จิตไปส่งเสริมสัญชาตญาณจนเกิดความเคยชิน และทำให้ จิตขาดปัญญาและรู้ไม่เท่าทัน หากปล่อยตามสัญชาตญาณที่แอบแฝง  จิตก็อาจมุ่งไปในทางที่เสื่อมได้ นั่นคือหากเราได้ปล่อยให้สมองส่วนอารมณ์หรือส่วนก้านสมองหรือส่วนสันชาติญาณทำงานบ่อยๆโดยไม่ใช้ปัญญาจากระบบสมองส่วนหน้ามากำกับ เราย่อมไม่ต่างไปจากระบบสมองสัตว์ เราจึงควรฝึกเจริญปัญญาคิดไตร่ตรอง ผิดชอบ ชั่วดีมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ให้รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ทิ้งเสพอารมณ์ หริอปล่อยให้อารมณ์มากวนจิตเรา แล้วปรับสู่การรับรู้อารมณ์ ฝึกรับรู้จนชำนาญจนถึงขั้นจิตเสวยอารมณ์นั่นคือ อารมณ์อยู่ภายใต้สติของเราได้ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว หรือเรียกได้ว่าสามารถฝึกฝนจนสามารถดำเนินชีวิตโดยใช้สมองส่วนหน้าคอยกำกับสมองส่วนลิมบิกและก้านสมองให้ได้อยู่ตลอดเวลาในทุกขณะจิต ในที่สุดสภาวะจิตก็จะค่อยๆพัฒนาจนถึงขั้นเกิดเป็นฤทธิ์และรู้ได้ จงเชื่อมั่นเซลล์ประสาทในสมองส่วนหน้าของเราซึ่งมีจำนวนเซลประสาท มากกว่าแสนล้านเซลล์ ซึ่งมากพอ ๆ กับจำนวนของดวงดาวในกาแล็กซีทางช้างเผือก และจุดเชื่อมต่อใยประสาทของเราอีกมากกว่าหนึ่งร้อยล้านล้านจุด ว่าหากเราฝึกการรับรู้อารมณ์ พิจารณาไตร่ตรองสภาวะจิตที่เกิดอย่างต่อเนื่อง และเจริญปัญญาอยู่เสมอ ก็จะทำให้เราสามารถพัฒนาการรับรู้อารมณ์ของเราสู่่การรับรู้อารมณ์อันละเอียดอ่อนในระดับที่สุดของที่สุดในองค์ฌานและพัฒนาตัวรู้ตัวปัญญาของเราได้สูงสุดถึงระดับในองค์ญาณ เรียกว่ารู้ได้ในระดับจิตวิญญาณ ถึงวิญญาณแท้ที่เป็นสากลได้เลยทีเดียว  เพียงเราต้องหมั่นฝึกฝนฝึกมองฝึกสมองส่วนหน้าพิจารณาสิ่งที่มากระทบบ่อยๆตลอดเวลา หากเราไปตามใจสัญชาตญาณและไปติดในกิน เสพในกาม หลงในเกียรติ จนเกินพอดี ก็เปรียบเสมือนเรามีอาวุธที่มีประสิทธิภาพอยู่ในมือแต่ไม่เคยใช้เซลสมองเหล่านี้มาใช้พัฒนาองค์ฌาน องค์ญาณ หรือนำไปใช้ในทางที่ผิด ไม่รู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี ก็จะสามารถจะก่อให้เกิดบาปมหันต์ โดยสามารถทำให้เราตกไปสู่ภพภูมิเบื้องต่ำได้สุดๆ ถึงนรกอเวจีได้เลยทีเดียว