สำนักสหปฏิบัติฯ

             กรณีที่เรากำลังเผชิญอยู่กับครุกรรม ซึ่งเป็นกรรมหนักนั้น  ในบางครั้งคณะเทพเองก็ไม่มีฤทธิ์มากพอที่จะสามารถต้านครุกรรมได้  หากเราต้องการที่จะรับมือกับครุกรรมให้ได้  เราจำเป็นต้องมีมหาเทพมาคุ้มครอง ซึ่งเจ้ากรรมนายเวรระดับครุกรรมนี้อาจเรียกได้ว่า เป็น “รังสีแห่งพญายม” ส่งมา  ซึ่งเทวดาที่อยู่ใน ๖ ชั้นฟ้าไม่สามารถต้านทานรังสีแห่งพญายมนี้ได้  ในการต้านครุกรรมนี้ เราจะต้องมี “รังสีแห่งมหาเทพ” เท่านั้น ที่จะมาช่วยในการรับมือกับฝ่ายครุกรรมได้ ซึ่งมหาเทพในที่นี้หมายถึงเทพฝ่ายดี ที่อยู่ในระดับมหาพรหมขึ้นไป นั่นก็คือ “ท่านท้าวมหาพรหมรังสี” และรังสีที่เราได้รับนั้นก็คือ “รังสีแห่งพระพรหม” นั่นเอง ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมีความรู้และความเข้าใจด้วยว่า มหาเทพนั้นไม่ต้องการเครื่องเซ่นไหว้ แต่ต้องการให้เราประพฤติตนอยู่ในศีล ในธรรม และสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติกรรมฐานสู่องค์ฌาน องค์ญาณ เจริญจิตสู่ระดับอัปปมัญญาพรหมเป็นกิจวัติ  ซึ่งเรารวมเรียกว่าเป็นการปฏิบัติบูชา  ดังนั้นเราจะต้องยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น โดยจะต้องปฏิบัติจิตสูงจริงๆ มหาเทพจึงจะสามารถมาให้ความคุ้มครองเราได้  เราต้องมีความรักความเมตตาสูง หรือมีความรู้ระดับองค์ฌาน องค์ญาณ หรือมีจิตสำนึกสาธารณะ มีความรักในระดับชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ นั่นคือปลอดจากกามฉันทะ  มหาเทพจึงจะลงมาช่วยคุ้มครองและปกปักษ์รักษาตัวเราให้สมดังกับคำพังเพยที่ว่า “ คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ”  มหาเทพจะลงมาช่วย ต้านครุกรรมให้กับเราอย่างแน่นอน  ในขณะเดียวกันบางคนมีจิตอุเบกขาที่เป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติโดยปกตินิสัย  บุคคลเหล่านั้นก็สามารถแก้ปัญหาสำคัญๆของชีวิตผ่านไปได้ โดยไม่รู้ตัวก็มี  ในที่นี้จะขออธิบายว่าอุเบกขา มี ๓ ระดับ คือ ตั้งแต่ระดับกายประพฤติ จิตคิด และอุเบกขาในระดับองค์ฌาน องค์ญาณ อันจะทำให้เกิดตัวรู้ต้านคลื่นครุกรรมได้สมบูรณ์ อุเบกขาจะสมบูรณ์มากขึ้นตามขั้นตอนในการพัฒนาวุฒิภาวะทางจิต ตั้งแต่ อิทฤทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ธานุภาพ เทวานุภาพ มโนมยิทธิ และสูงสุดในระดับอภิญญาญาณ คืออาสวักขยญาณ อันจะสามารถป้องกันกรรมได้อย่างสมบรูณ์ เนื่องจากพระอรหันต์ท่านสามารถรู้ลึกและรู้หยั่งลึกลงไปถึงในระดับวิญญาณ  เพราะฉะนั้นอุเบกขาของพระอรหันต์จึงมีฤทธิ์มากครอบคลุมกว้างไกล และหยั่งลึกลงสู่ระดับจิตวิญญาณจึงสามารถแก้กรรมได้  ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า ถ้าเราฝึกจิตของเราจนมีอุเบกขาให้ได้มากที่สุดเท่าใด ก็จะปลอดภัยจากกรรมได้มากที่สุดเท่านั้น  เมื่อจิตเรามีอุเบกขา ก็จะทำให้เรามีสติที่จะพิจารณาเหตุและผล รู้ทางแก้ เห็นรหัสกรรม รู้ทันรหัสเวร และจะสามารถปรับเปลี่ยนตัณหา ให้เป็นฉันทะปฏิบัติงานด้วยอิทธิบาทธรรมสมบูรณ์  ให้เป็นกายและจิตที่ควรแก่การงาน  สามารถรับรู้ และพัฒนาพลังทางจิต ให้เข้าสู่การพัฒนาพลังวิญญาณ เพื่อพัฒนาธาตุรู้ให้เข้าสู่ระดับสากลได้ต่อไป